วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2551

ทางลัดสู่การทำแผนธุรกิจ

จัดทำและจัดการแผนธุรกิจระดับมืออาชีพด้วยการใช้เครื่องมือและแม่แบบที่ช่วยคุณประหยัดเวลาของ Microsoft
โดย David McAmis


จัดทำและจัดการแผนธุรกิจระดับมืออาชีพด้วยการใช้เครื่องมือและแม่แบบที่ช่วยคุณประหยัดเวลาของ Microsoft
โดย David McAmis

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2551

ประวัติศาสตร์ที่ขาดการชำระ

ประวัติศาสตร์ที่ขาดการชำระ
โดย จักรภพ เพ็ญแข [17-10-2007]
ต้องขอบคุณเทคโนโลยี DVD ที่ทำให้คนงานล้นอย่างผมมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์ดีๆ หลังจากที่ลาโรงไปแล้ว นอกจากจะได้ชมในคุณภาพที่ไม่ผิดอะไรกับในโรงแล้ว ยังสนุกสนานและได้ความรู้อย่างมากจาก special features ที่แต่ละเรื่องแข่งขันกันใส่เข้ามาเพื่อให้เป็นมูลค่าเพิ่มและช่วยส่งเสริมการขาย ผมชอบเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์แต่ละเรื่องเป็นพิเศษ ที่มักจะนำเสนอในสารคดีที่เรียกกันติดปากว่า “...the making of...” สารคดีบางเรื่องดีพอๆ กับตัวหนังเลยทีเดียว

เพราะ DVD ผมถึงได้ชมภาพยนตร์สัญชาติเยอรมันเรื่อง Downfall ที่พูดภาษาเยอรมันทั้งเรื่อง ต้องอ่าน subtitle ภาษาอังกฤษไปตลอดสองชั่วโมงสามสิบนาที แต่ไม่ได้สร้างความอึดอัดรำคาญใจเลยแม้แต่นิดเดียว
เข้าทำนองที่พูดกันว่า ภาษาในภาพยนตร์มีอยู่สองประเภท ได้แก่ ภาษาที่ตัวแสดงพูดและสื่อสารกัน กับภาษาภาพยนตร์ที่เป็นสากล ซึ่งเป็นศิลปะขั้นสูงของคนทำหนัง ผู้กำกับภาพยนตร์ที่กลายเป็นอมตะของโลก ไม่ว่าเป็นอากิระ คุโรซาว่า จอห์น ฮุสตัน เฟลเดอริโก เฟลลีนี่ ฯลฯ ล้วนได้รับการยกย่องว่าใช้ภาษาภาพยนตร์ได้เป็นเลิศ นั่นคือทำให้คนดูเข้าใจในภาษาภาพโดยไม่ต้องเข้าใจในภาษาพูดเลยแม้แต่คำเดียว
Downfall เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงสุดท้ายก่อนที่เยอรมนีจะพ่ายแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างราบคาบ ภาพยนตร์เรื่องนี้วนเวียนอยู่ในที่ตั้งมั่นของผู้นำเยอรมันในขณะนั้นคือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หรือ “ท่านผู้นำ” (“Fuhrer”) ในช่วงเดือนเมษายน ก่อนที่ทุกอย่างจะพังทลายลงตามชื่อภาพยนตร์ คำว่า downfall นั้นมีความหมายว่า พังทลาย ถูกโค่นล้ม ความล่มสลาย
เราชมภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองและฮิตเลอร์มาไม่รู้กี่เรื่อง คอหนังสงครามแต่ละคนจะมีชื่อภาพยนตร์ในดวงใจทุกคนไป และส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับสงครามโลกครั้งที่สอง สตีเว่น สปีลเบิร์กคนเดียวก็สร้างและกำกับฯ ไม่รู้กี่เรื่อง จาก 1941, Empire of the Sun, Schindler’s List จนถึง Saving Private Ryan แม้กระทั่งผู้สร้างไทยก็หยิบวรรณกรรมอย่าง “คู่กรรม” มาสร้างแล้วสร้างอีกอย่างไม่รู้เบื่อ แต่ Downfall ก็ยังโผล่พรวดขึ้นมาจากภาพยนตร์ที่เป็นกองพะเนินเทินทึกและสร้างความโดดเด่นจนได้
ก็เพราะ Downfall เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับความสูญสลายพ่ายแพ้ ตลอดจนความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ที่ทั่วโลกยังประณามไม่รู้จบสิ้น ที่สร้างโดยฝีมือของคนเยอรมันเอง
ครับ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการเล่าถึงความผิดบาปของเยอรมนีในช่วงสงครามอันโหดร้ายครั้งนั้น โดยคนที่มีตราบาปติดตัวมานั้นเองเป็นคนเล่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงไม่ต่างอะไรจากการสารภาพบาป ที่ทำให้เราคนดูเกิดความซาบซึ้งและความเหี่ยวแห้งใจไปพร้อมกัน
ทุกประเทศย่อมมีความภาคภูมิในประเทศของตน และไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ผิดหรือผู้แพ้ ประวัติศาสตร์หรือพงศาวดารของแต่ละประเทศที่บันทึกเรื่องราวเดียวกันจึงมีความขัดแย้งกันเสมอ ตัวอย่างที่ดีคือประวัติศาสตร์ระหว่างไทยกับพม่า ที่แทบจะวางมวยกัน หลายครั้งที่ชนะกลายเป็นแพ้ และหลายครั้งที่แพ้ก็แก้เกี้ยวว่าเป็นเล่ห์กระเท่ของผู้ชนะ ดิสเครดิตเขาถึงขนาดนั้นก็มี
ผมจึงนั่งชมภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยความทึ่งในระบบสังคมของเยอรมนีในปัจจุบัน เราต่างทราบประวัติศาสตร์ของเขาดี (ส่วนใหญ่ก็จากการดูหนัง) ว่า ระบอบนาซีที่คนเขาด่าประณามกันนักหนาว่าเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จและโหดร้ายทารุณเหลือที่จะกล่าวนั้น ความจริงก็มาจากการเลือกตั้งโดยแท้ ฮิตเลอร์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็ด้วยเสียงข้างมากในรัฐสภา ไม่ได้ยึดอำนาจมาจากใครที่ไหนเลย
จนภายหลังเมื่อฮิตเลอร์นำนโยบายที่คนเยอรมันชื่นชอบไปเป็นนโยบายต่างประเทศ ถึงขั้นรุกรานยุโรปเกือบทั้งทวีป เปิดสงครามโลกขึ้น และพ่ายแพ้ นั่นเองจึงเป็นเหตุให้เขากลายสภาพจาก “ท่านผู้นำ” มาเป็น “อาชญากรสงคราม”
แปลว่าตั้งแต่ต้นจนอวสาน คนเยอรมันส่วนใหญ่ในขณะนั้นเอาด้วยกับ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ นะครับ
แล้วมาวันนี้จะรู้สึกกันอย่างไรก็ไม่ทราบได้ เมื่อภาพยนตร์อย่าง Downfall ฉีกกระชากความภาคภูมิใจนี้ออกเป็นชิ้นๆ ทำให้ฮิตเลอร์กลายเป็นคนบ้าเสียสติ บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์กลายเป็นสาวกของซาตาน ฯลฯ ซึ่งเป็นภาพที่ศัตรูวาดให้กับเยอรมันมานานในภาพยนตร์ฮอลลีวูด แต่นี่คือลูกหลานเยอรมันเองเป็นผู้วาดภาพ และเป็นภาพที่เหมือนจริงจนเจ็บปวดเสียด้วย
ใครจะนึกอย่างไรก็ตาม ผมดูภาพยนตร์เรื่องจบด้วยความรันทดใจในโศกนาฏกรรมที่ “สิ่งที่มีชีวิตที่เรียกว่าคน” (ศัพท์ของ วินทร์ เลียววาริณ) สร้างให้กับตนเองจนต้องตกในห้วงทุกข์ตลอดชีวิตจริงๆ ถ้าขาดปัญญาอันเกิดจากธรรมะ ก็จะดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นนรกนรกานต์
แต่ประวัติศาสตร์ที่เขาชำระด้วยตัวเขาเองอย่างนี้ ส่งผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ ปัจจุบันคนเยอรมันไม่ได้ถูกผูกกับบาปของฮิตเลอร์และนาซีอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาทำหนังและงานศิลป์อย่างนี้ออกมาเป็นการระบายถ่ายทอดความผิดบาปในหัวใจ ยอมรับสภาพและความเป็นจริง จากนั้นก็เดินสู่อนาคตอย่างคนที่ได้รับบทเรียน
บางทีวิบากกรรมของไทยในขณะนี้อาจจะเกิดจากการที่เราไม่เคยชำระประวัติศาสตร์และยอมรับความจริงอะไรเลยก็เป็นได้ คนโกหกจึงได้เกลื่อนเมืองอย่างไม่น่าเชื่อ.

เกาหลีใต้ทิ้งไทย10ปี!

เกาหลีใต้ทิ้งไทย10ปี!
โดย บท บ.ก. [20-11-2007]
อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ หรือที่เรียกว่า Creative Industry ซึ่งคำนี้มีความหมายครอบคลุมในหลายกลุ่มธุรกิจเช่น ธุรกิจโฆษณา (วันนี้ต่างชาติครอบครองส่วนแบ่งตลาดไปเกือบ 100%) แอนิเมชั่น ภาพยนต์ เกม กราฟิกดีไซน์ หรือสินค้าในกลุ่มทางวัฒนธรรม(ดนตรี ศิลป ท่องเที่ยว)

ถามว่า วันนี้สถานะและมูลค่าของธุรกิจที่เกี่ยวกับการสร้างสรรค์มีมูลค่าเท่าใด คำตอบชัดๆ คือ มีมูลค่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ ภาพยนต์ หรือผ้าทอ ในขณะที่ตลาดรองรับสินค้าของ Creative Industry ส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศที่มีกำลังซื้อสูง และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกๆปี
ซึ่งมูลค่าในการนำเข้าสินค้าในกลุ่มนี้ทั่วโลก เพิ่มขึ้นจาก 40,421 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1994 เป็น 63,668 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2002 และประเทศที่นำเข้าสินค้ามากที่สุด 5 อันดับแรก รวมแล้วมีมูลค่ามากกว่า 50% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมดของโลกคือ สหรัฐอเมริกา มาเป็นอันดับที่ 1 รองลงมาคือ อังกฤษ เยอรมนี แคนาดา และฝรั่งเศส
คำถามที่น่าสนใจคือ ทำอย่างไรประเทศไทยจึงจะผลักดินสินค้าเชิงสร้างสรรค์สู่เวทีการค้าโลก และสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดได้เพิ่มมากขึ้น...?
เรื่องนี้มีคำตอบ และเป็นคำตอบที่ไม่สร้างสรรค์เท่าใดนักเพราะ ในเรื่อง Creative Industry ของไทยวันนี้มองแล้ว เท่ากับว่า เพิ่งจะเริ่มตั้งไข่ และในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯฉบับที่ 10 (2550-2554) ก็ไม่ได้บรรจุเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า มีเป้าหมายอย่างไร และในเรื่องนี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ดร.อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รองเลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ซึ่งท่านวิเคราะห์ไว้อย่างนี้
“อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ หากเทียบกับเกาหลีใต้ เราถูกทิ้งไปอย่างน้อย 10 ปีเพราะ การจะผลักดันเรื่องนี้ ขึ้นกับทางการเมืองด้วยว่า ผู้บริหารประเทศให้ความสำคัญในเรื่องนี้แค่ไหน และใครจะเป็นเจ้าภาพที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนเพราะ วันนี้มีไม่น้อยกว่า 15 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และต่างคนต่างทำ จึงทำให้การพัฒนาไม่สามารถเดินไปได้อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการอนุรักษ์ฟื้นฟู วิจัยพัฒนา การตลาด และบุคลากร”
ดร.อาคมยังทิ้งท้ายไว้ว่า ในส่วนตัวน่าจะตั้ง “องค์กรพิเศษ” ขึ้นมาเป็นเจ้าภาพรับผิดชอบในเรื่องนี้ และมีเป้าหมายชัดเจนว่า ในอีก 5 ปีหรือ 10 ปีข้างหน้า เราอยากเป็นภาพอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ของไทยอย่างไร เพราะ การทำเรื่องนี้ ไม่ใช่จะทำได้ทันทีเพราะ ต้องทำวิจัย และพัฒนาหลายปี กว่าจะคลอด Action Plan ออกมาได้ อย่างเช่น เกาหลีใต้วันนี้ที่เติบโตเร็วมาก และส่งสินค้าวัฒนธรรมออกมาตีตลาดโลก เขาคิดกันมาเป็นสิบปี กว่าจะส่งผลเป็นเม็ดเงินที่กอบโกยเข้าประเทศได้ในขณะนี้
กระบวนการคิดและผลักดัน Creative Industry มีความสำคัญมากเพราะ เป็นการขับเคลื่อนด้วยสมอง ที่สามารถสร้าง “มูลค่าเพิ่ม”ได้ อย่างเช่น สตีฟ จ็อบส์ ผลิตไอโฟนขายดีทั่วโลกจำนวนหลายล้านเครื่อง ชิ้นส่วน และ การผลิตอยู่ในประเทศจีน โดยสตีฟเป็นเพียงคนคิด และควบคุม ที่สำคัญคือ สามารถกินส่วนต่างการการตลาดได้มากที่สุดด้วย
ประเทศไทยวันนี้ยังอยู่ใน “ขั้นเริ่มต้น” และยังไม่รู้ด้วยว่า รัฐและเอกชนจะเดินไปทิศทางไหนเพราะ การผลักดันจะต้องดูตั้งแต่ต้นนำถึงปลายน้ำ และมองอย่างบูรณาการแบบครงวงจร เหมือนเช่น ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้ โดยตั้งเป็นองค์พิเศษขึ้นมาดูแลเป็นการเฉพาะ และเป็น “มันสมอง” ที่คอยคิดว่า จะสร้าง content และต่อยอดได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นด้านภาพยนต์ เกม แอนนิเมชั่น ดนตรี และศิลปะ
รายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับ Creative Industry ติดตามได้จาก Cover Story ฉบับนี้ได้!

ส่วนแบ่งทางการตลาดที่แท้จริง

ส่วนแบ่งทางการตลาดที่แท้จริง
โดย ดร.พงษ์ศักดิ์ สวัสดิเกียรติ อาจารย์พิเศษโครงการปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ ม.เกษตรศาสตร์ [8-1-2008]
ปีใหม่ที่มาถึงนี้ทุกคนก็คงทราบดีว่าภาวะเศรษฐกิจไทยคงมีความลำบากพอสมควร แต่จะถึงกับล้มหายตายจากไปหรือไม่ก็คงจะไม่ถึงขั้นนั้น เพราะว่าเราผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายในปี 2540 มาแล้ว คงจะเป็นบทเรียนให้เราได้ตระหนักในการวางแผนเศรษฐกิจ ตลอดจนการดำรงชีพของแต่ละบุคคลได้เป็นอย่างดี

พอมาอ่านข่าวว่าเศรษฐกิจประเทศไทยโตน้อยที่สุดในอาเซียน แพ้แม้กระทั่งลาว เขมร และพม่า ก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่ไม่มีความสามารถบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งๆที่เรามีพื้นฐานที่แข็งแกร่งกว่าสามประเทศข้างต้น
ก็คงได้แต่คาดหวังว่ารัฐบาลใหม่คงมีทิศทางในการบริหารประเทศได้ชัดเจนขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ (ถ้าประเทศไม่วุ่นวายหรือนองเลือดไปเสียก่อน) ในการการวางแผนสำหรับองค์กรธุรกิจนั้นมักจะวางเป้าหมายที่ยอดขาย กำไร หรือส่วนแบ่งทางการตลาด หรือทั้งสามตัวรวมกันซึ่งก็ขอตั้งข้อสังเกตซึ่งอาจจะเป็นจุดอ่อนที่ควรแก้ไขสำหรับองค์กรที่ตั้งเป้าหมายแค่ “ส่วนแบ่งทางการตลาด” เพราะอาจจะไม่สามารถตอบโจทย์ขององค์กรธุรกิจได้ทั้งหมด
ทั้งนี้เพราะหากต้องการส่วนแบ่งทางการตลาดแต่เพียงอย่างเดียวนั้น เราทำได้ง่ายนิดเดียวเช่นการแจกซิมฟรี หรือขายราคาถูกมากๆ เราก็สามารถมีส่วนแบ่งทางการตลาดในแง่ผู้ใช้บริการได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ต้องมองต่อไปว่าจะทำให้ซิมเหล่านั้นก่อเกิดเป็นรายได้ และผลกำไรในที่สุดได้หรือไม่
จากตัวเลขจะเห็นได้ชัดว่าค่ายมือถืออันดับหนึ่งมีส่วนแบ่งจากจำนวนซิม 49.5 % แต่มีส่วนแบ่งรายได้ถึง 51.3% ในขณะที่อันดับสามส่วนแบ่งตลาดจากซิมมีถึง 19.1% แต่ส่วนแบ่งรายได้กลับเหลือแค่ 14.44% เท่านั้น แสดงว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของซิมไม่ใช่คำตอบสุดท้ายว่าได้ชัยชนะ
เราจะต้องมาดูถึงรายได้และที่สำคัญต้องดูบรรทัดสุดท้าย(BOTTOM LINE) คือผลกำไรที่เกิดขึ้นว่ามีมากน้อยเพียงไรเพราะบางองค์กรยอดขายมากแต่กำไรน้อยกว่าอีกองค์กรหนึ่งก็ได้ และต้องดูให้ลึกไปถึงว่าผลกำไรเมื่อเทียบกับเงินลงทุนทั้งหมดแล้วเป็นกี่เปอร์เซนต์ก็จะได้ดูให้เห็นถึงประสิทธิภาพขององค์กรอย่างแท้จริง ดังนั้นอย่าหลงระเริงกับส่วนแบ่งทางการตลาดแต่เพียงอย่างเดียวนะครับ
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งหากผมถามท่านเล่นๆ ว่าสบู่ยี่ห้อใดครองตลาดเป็นอันดับหนึ่งในส่วนสบู่ก้อน ส่วนใหญ่คงตอบได้ว่าลักส์ แต่ถ้าถามว่าอันดับสองยี่ห้ออะไรคงนึกไม่ถึงว่าเป็นนกแก้ว ที่ผมถามเฉพาะสบู่ก้อนเพราะในส่วนของสบู่แบ่งตามรูปลักษณ์ได้สองลักษณะคือสบู่เหลวกับสบู่ก้อนซึ่งสบู่เหลวปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาด 35.3% และนับวันจะเติบโตขึ้นเป็นลำดับ
แน่นอนหากรวมทั้งสองส่วน “นกแก้ว”อันดับคงตกลงมาอย่างแน่นอน เฉพาะสบู่ก้อน ลักส์ครองส่วนแบ่งตลาด 26.7 % ในขณะที่นกแก้ว 12.5 % แล้วลองคิดดูนะครับว่าใครจะทำกำไรได้มากกว่ากันในขณะที่นกแก้วมีส่วนแบ่งตลาดเกือบเป็นครึ่งหนึ่งของลักส์ และลักส์ต้องมีงบทางการตลาดที่สูงมากๆโดยจะสังเกตได้จากจำนวนโฆษณา แล้วเราเห็นโฆษณานกแก้วบ่อยแค่ไหนครับ ซึ่งยอดขายที่ได้มาเพราะนกแก้วมีแฟนพันธุ์แท้อยู่ในต่างจังหวัดซึ่งมีประชากรมากว่า 40 ล้านคน
แต่คำถามสำหรับนกแก้วว่าจะรักษาระดับได้อย่างไรเพราะผู้บริโภครุ่นเก่ากำลังจะล้มหายตายจากไป จะแสวงหาลูกค้ารุ่นใหม่ได้อย่างไร ก็พอดีไปเห็นโฆษณา นกแก้วกลิ่นมะลิ และกลิ่นจำปี ออกมาสู่ท้องตลาด ก็พอจะอนุมานได้ว่านกแก้วคงไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่พร้อมปรับตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เหมือนอย่างตอนไอเอ็มเอฟนกแก้วก็ออกมาตอกย้ำความเป็นไทย และออกแพรอทโกลด์ออกมาจับลูกค้ากลุ่มที่อยู่ในเมืองรวมทั้งออกสบู่เหลวด้วยแต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก ก็เลยต้องกลับไปหาและรักษาลูกค้ากลุ่มเดิมคือ คนต่างจังหวัดต่อไป

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2551

การพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาด

1. ความหมายของการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดการพัฒนา หมายถึง การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นเพื่อให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงเหมาะสมกับสถานะการณ์ การพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดจึงเป็นการศึกษาเพื่อให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เพราะว่าความมั่นคงจะมีความสำคัญมากของธุรกิจกลางหรือเล็กในการพัฒนากลยุทธ์กาตลาด ผู้ประกอบการต้องเปลี่ยนทัศนคติในการมองเรื่องต่าง ๆ และต้องให้ความสำคัญกับข้อมูล ต้องประเมิณสถานการณ์อย่างถูกต้องและเป็นธรรม การพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดจะประกอบด้วย 2 ประเด็นใหญ่ ๆ คือ ตลาดและผลิตภัณฑ์2. มุมมองด้านตลาดตลาดเก่า หมายความว่า ลักษณะของลูกค้าเดิม ๆ ซึ่งก็จะเป็นลูกค้าประจำ หรือว่าจะเป็นลูกค้าขาจรที่ผ่นมาแล้วก็ผ่านไปตลาดใหม่ หมายความว่า ลูกค้าใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ซึ่งพฤติกรรมของลูกค้าที่ผ่านเข้าก็จะความหลากหลายไปด้วย3. มุมมองด้านผลิตภัณฑ์มี 2 ประเภทด้วยกันผลิตภัณฑ์เก่า คือ สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เราเคยขายก่อน ผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ สินค้าหรือบริการใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยมีมาก่อน และ เมื่อประเมินสถานการณ์เราสามารถนำเอา 2 ปัจจัยมาผสมกันแล้วจะได้เป็นคู่ ๆคู่ที่ 1 คือ ตลาดเก่า ผลิตภัณฑ์เก่าคู่ที่ 2 คือ ตลาดเก่า ผลิตภัณฑ์ใหม่คู่ที่ 3 คือ ตลาดใหม่ ผลิตภัณฑ์เก่าคู่ที่ 4 คือ ตลาดใหม่ ผลิตภัณฑ์ใหม่คู่ที่ 5 คือ การผสมผสานแต่ละคู่มารวมกัน4. การพัฒนากลยุทธ์การตลาด มี 5 ตัวหลัก ๆ ที่จะต้องคำนึงถึง1. กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย2. ผลิตภัณฑ์ คือ สินค้าและการบริการ3. กลยุทธ์ราคา4. กลยุทธ์การจัดจำหน่าย5. กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อแผนทางการตลาดการวางแผนทางการตลาดต้องมีการเก็บข้อมูลเพื่อที่จะใช้เป็นกำหนดทิศทางและการตัดสินใจว่ากิจกรรมทางการตลาดต่าง ๆ ที่จะใช้ในการแข่งขันควรมีอะไรบ้าง ดังนั้น ข้อมูลทางการตลาดที่ได้มีการเก็บรวบรวมมาจึงจำเป็นต้องผ่านขั้นตอนในการวิเคราะห์และประมวณผลเพื่อใช้ในการตัดสินใจได้ การวิเคราะห์เชิงปริมาณและคุณภาพการวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาดมี 2 ประเภทสำคัญใหญ่ ๆ คือ การวิเคราะห์เชิงปริมาณ และการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ โดยทั่วไปการวิเคราะห์เชิงปริมาณจะใช้เครื่องมือตัววัดในทางสถิติ ในขณะที่การวิเคราะห์เชิงคุณภาพจะใช้ประเด็ดเป็นเครื่องมือในการวัด เพื่อให้เกิดความเข้าใจในประเด็นหรือข้อมูลที่ยังขาดความชัดเจนการวิเคราะห์ในเชิงการทดสอบสมมุติฐานการวิเคราะห์และทดสอบในทางสมมุติฐาน โดยทั่วไปจะเป็นการวิเคราะห์เชิงปริมาณที่ได้จากข้อมูลจากการสำรวจ และมักใช้ค่าสถิติในการวิเคราะห์และตีความ ซึ่งมักจะให้ความสนใจต่อนัยสำคัญทางสถิติว่ามีหรือไม่ มากน้อยอย่างไร หรือว่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน การวิเคราะห์ประเภทนี้มักจะใช้ค่าเฉลี่ย ค่าสถิติอื่น ๆที่มีความซับซ้อนมากขึ้น แต่ก็สรุปง่าย ๆ ก็คือ ส่วนใหญ่จะเป็นการหาค่าความสัมพันธ์หรือความแตกต่างกันระหว่างตัวแปร เพื่อนำผลไปวิเคราะห์ไปใช้ในการวางแผนทางการตลาดการวิเคราะห์ในเชิงการทดสอบสมมุติฐานการวิเคราะห์ในเชิงการทดสอบสมมุติฐาน โดยทั่วไปจะเป็นการวิเคราะห์เชิงปริมาณที่ได้จากข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ และมักจะใช้ค่าสถิติในการวิเคราะห์และตีความ ซึ่งถ้าหากพบว่ามีความแตกต่างกัน ผู้ใช้ข้อมูลในการตลาดก็จะนำเอาข้อมูลนี้ไปวิเคราะห์เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจหรือการวางแผนทางการตลาดเพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและมีความชัดเจนมากขึ้นการวิเคราะห์เชิงสรุปประเด็นการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์เชิงคุณภาพเป็นการวิเคราะห์และสรุปเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ในเชิงลึก เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับปรากฎการณ์ทางการตลาดนั้น ๆ มากขึ้น หากแต่ว่าข้อมูลเชิงคุณภาพอาจสามารถประมวลความคิดเห็นและสรุปได้ลึกซึ่งกว่า ดังนั้นการวางแผนทางการตลาดที่ดีควรมีการประยุกต์ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาดที่ครอบคลุมและหลากหลายของข้อมูลที่เก็บรวบรวมมา จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการใช้ข้อมูลทางการตลาดที่นับวันจะมีความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ

ปลุกพลังใจ ในการทำงาน

ใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่า "คนที่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วอยากไปทำงานคือคนโชคดี" อาจเป็นจริงก็ได้ เพราะบางคนกำลังรู้สึกแย่กับที่ทำงานเต็มที...เชื่อว่าเมี่อครั้งที่เริ่มทำงานใหม่ๆคุณคงรู้สึกว่าตัวเองโชคดีทุกวัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป จู่ๆ เช้าวันหนึ่งคุณกลับรู้สึกช็อตไปชะดื้อๆ ความรู้สึกเบื่อหน่ายท้อแท้ วุ่นวายสับสน เข้ามาแทนที่ อย่าปล่อยให้คุณค่าในตัวคุณถูกกร่อนทำลายลงเรื่อยๆ ลุกขึ้นปลุกพลัง ความเชี่อมั่น ให้กลับมาอีกครั้งด้วยวิธีง่ายๆ ไม่ต้องอาศัยเรื่องมือใดๆนอกเสียจาก "ใจ" ของคุณเองมาเริ่มต้นทำความสุขให้เกิดในงานที่ทำกันดีกว่า...- หมั่นกระตุ้นตัวเอง ทบทวนความรู้สึกตื่นเต้น ท้าทาย เมื่อแรกเริ่มเข้ามาทำงาน จากนั้นลองหาสาเหตุให้ตัวเองสัก 10 ข้อ ว่างานที่กำลังทำอยู่มีความสำคัญเพียงใด เขียนเหตุผลเหล่านั้นใส่กระดาษโน้ตติดไว้ในทุกหนทุกแห่งที่มองเห็น ทุกครั้งที่ล้า หรือเบื่อหน่ายสละเวลาเล็กน้อยอ่านเหตุผลเหล่านั้น ความกระปรี้กระเปร่าจะกลับคืน มาอีกครั้ง- เติมความสดชื่นให้ตัวเองเสมอ ว่างแก้วใบโปรดใส่น้ำดื่มบริสุทธิ์ไว้ไกล้มือระหว่างทำงาน เพื่อคุณสามารถดื่มน้ำได้ วันละ8 แก้ว แทนการดื่มกาแฟ น้ำอัดลมหรือการสูบบุหรี่ ซึ่งไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายแถมยังบั่นทอนสุขภาพคุณอีกต่างหาก- ยืดเส้นยืดสายบ้างระหว่างทำงาน คุณสามารถออกกำลังกายง่ายๆ ในเวลาทำงานการเดินไปส่งเอกสารตามโต๊ะต่างๆด้วยตัวเอง นอกจากจะช่วยให้คุณกระฉับกระเฉงตลอดเวลาแล้ว ยังทำให้คุณสร้างความสนิทสนมกับเพื่อนร่วมงานได้มากขึ้น- ทำงานตามความถนัดความยาก-ง่ายจัดสำดับความสำคัญของการทำงานที่จะต้องทำในแต่ละวัน เลือกงานได้มากขึ้นทำเป็นอับดับแรก เพราะคุณต้องใช้สมาธิมากกว่าปกติ เมื่อทำงานไปตามลำดับที่จัดไว้ จะช่วยให้คุณสะสางงานที่คั่งค้างในแต่ละวันลงได้ เพื่อมีเวลาเหลือสำหรับทำงานง่าย หรือใช้เวลาไม่มากนัก ไม่ลืมให้ของขวัญแก่ตัวเอง เมื่อทำงานเสร็จทันเวลา หรือจัดการแก้ปัญหาให้ผ่านไปด้วยดี- คุณควรให้รางวัลตัวเองบ้างเพื่อสร้างความรู้สึกดีๆ อาจเป็นขนมโปรดเจ้าอร่อย ดอกไม้สวยๆสักดอกปักในแจกัน หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้คุณสดชื่น พร้อมกลัมมาเผชีญกับงาน ชิ้นต่อไปได้อย่างเต็มที่- อย่าหอบงานกลับไปทำที่บ้าน เพราะไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าคุณทำได้อย่างเต็มที่ ตั้งใจทั้งยังแสดงให้เห็นว่าคุณกำลังล้มเหลวกับการบริหารเวลา ควรปล่อยให้บ้านเป็นสถานที่แห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง เพื่อคุณจะได้มีพลังทำงานในวันรุ่งขึ้นอย่างเต็มที่ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ นักเรียกร้องสิทธิมนุษชนชาวอเมริกัน เคยกล่าวไว้ว่า"คุณค่าสูงสุดของมนุษไม่ได้อยู่ ณ จุดที่เขายืนในช่วงเวลาที่สะดวกสบายแต่อย่างใด หากอยู่ตรงจุดที่เขายืน ณ ช่วงเวลาแห่งความท้าทายและขัดแย้ง"

ที่มา : สสส.

การตลาด p-4

การวางแผนการตลาดโดยใช้ 4P กลยุทธ์ทางการตลาดนั้นมีอยู่มากมาย แต่ที่เป็นที่รู้จัก และเป็นพื้นฐานที่สุดก็คือการ ใช้ 4P (Product Price Place Promotion) ซึ่งหลักการใช้คือการวางแผนในแต่ละส่วนให้เข้ากัน และเป็นที่ต้องการของกลุ่ม เป้าหมายที่เราเลือกเอาไว้ให้มากที่สุด ในบางธุรกิจอาจจะไม่สามารถปรับเปลี่ยน ทั้ง 4P ได้ทั้งหมดในระยะสั้นก็ไม่เป็นไรเพราะ เรา สามารถ ค่อยๆปรับกลยุทธ์จนได้ ส่วนผสมทางการตลาดได้เหมาะสมที่สุด ( 4P อาจจะเรียกว่า marketing mix) เราลองมา ดูกันทีละส่วน
1. Productก็คือสินค้าหรือบริการที่เราจะเสนอให้กับลูกค้า แนวทางการกำหนดตัว product ให้เหมาะสมก็ต้องดูว่ากลุ่มเป้า หมายต้องการอะไร เช่นต้องการน้ำผลไม้ที่ สะอาด สด ในบรรจุภัณฑ์ถือสะดวก โดยไม่สนรสชาติ เราก็ต้องทำตามที่ลูกค้าต้องการ ไม่ใช่ว่าเราชอบหวานก็จะพยายามใส่น้ำตาลเข้าไป แต่โดยทั่วไปแนวทางที่จะทำสินค้าให้ขายได้มีอยู่สองอย่างคือ1.1 สินค้าที่มีความแตกต่าง โดยการสร้างความแตกต่างนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้จริงว่าต่างกันและ ลูกค้าตระหนักและชอบในแนวทางนี้ เช่นคุณสมบัติพิเศษ รูปลักษณ์ การใช้งาน ความปลอดภัย ความคงทนโดยกลุ่มลูก ค้าที่เราจะจับก็จะเป็นลูกค้าที่ไม่มีการแข่งขันมาก (niche market)1.2 สินค้าที่มีราคาต่ำนั่นคือการยอมลดคุณภาพในบางด้านที่ไม่สำคัญลงไป เช่นสินค้าที่ผลิตจากจีน จะมีคุณภาพไม่ดี นักพอใช้งานได้ แต่ถูกมากๆหรือ สินค้าที่เลียนแบบแบรนด์ดังๆ ในซุปเปอร์สโตรต่างๆ จริงๆแล้วสำหรับนักธุรกิจมือ ใหม่ควรเลือกในแนวทาง สร้างความแตกต่างมากกว่า การเป็นสินค้าราคาถูกเพราะ หากเป็นด้านการผลิตแล้วรายใหญ่ จะมีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่ารายย่อย แต่หากเป็นด้านบริการ เราอาจจะเริ่มต้นที่ราคาถูกก่อน แล้วค่อยๆ หาตลาดที่ราย ใหญ่ไม่สนใจ2. Priceราคาเป็นสิ่งที่ค่อนข้างสำคัญในการตลาด แต่ไม่ใช่ว่า คิดอะไรไม่ออกก็ลดราคาอย่างเดียวเพราะการลดราคาสินค้า อาจจะไม่ได้ช่วยให้การขายดีขึ้นได้ หากปัญหาอื่นๆยังไม่ได้รับการแก้ไข การตั้งราคาในที่นี้จะเป็นการตั้งราคาให้เหมาะสมกับ ผลิตภัณฑ์ และกลุ่มเป้าหมายของเรา เช่นหากเราขายน้ำผลไม้ที่จตุจักร ราคาอาจจะต้องถูกหน่อย แต่หากขายที่สยาม หากตั้ง ราคาถูกไปเช่น 10 บาท กลุ่มที่เป็นเป้าหมายอยากให้ซื้ออาจจะไม่ซื้อ แต่คนที่ซื้ออาจจะเป็นคนอีกกลุ่มซึ่งมีน้อยกว่า และไม่คุ้ม ที่จะขายแบบนี้ในสยาม ยิ่งไปกว่านั้นหากราคา และรูปลักษณ์สินค้าไม่เข้ากัน ลูกค้าก็จะเกิดความข้องใจและอาจจะกังวลที่จะซื้อ เพราะราคาคือตัวบ่งบอกภาพลักษณ์ของสินค้าที่สำคัญที่สุด อย่างไรก็ตาม ในด้านการทำธุรกิจขนาดย่อมแล้ว ราคาที่เราต้องการ อาจไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งขนาดนั้น แต่จะมองกันในเรื่องของตัวเลข ซึ่งจะมีวิธีกำหนดราคาง่ายต่างๆดังนี้ 2.1 กำหนดราคาตามลูกค้า คือการกำหนดราคาตามที่เราคิดว่า ลูกค้าจะเต็มใจจ่าย ซึ่งอาจจะได้มาจากการทำสำรวจ หรือแบบสอบถาม2.2 กำหนดราคาตามตลาด คือการกำหนดราคาตามคู่แข่งในตลาด ซึ่งอาจจะต่ำมากจนเราจะมีกำไรน้อยดังนั้นหาก เรา คิด ที่จะกำหนดราคาตามตลาด เราอาจจะต้องมานั่งคิดคำนวณย้อนกลับว่า ต้นทุนสินค้าควร เป็นเท่าไรเพื่อจะได้กำ ไร ตามที่ตั้งเป้า แล้วมาหาทางลดต้นทุนลง2.3 กำหนดราคาตามต้นทุน+กำไร วิธีนี้เป็นการคำนวณว่าต้นทุนของเราอยู่ที่เท่าใด แล้วบวกค่าขนส่ง ค่าแรงของเรา บวกกำไร จึงได้มาซึ่งราคา แต่หากราคาที่ได้มาสูงมาก เราอาจจำเป็นต้องมีการทำประชาสัมพันธ์ หรือปรับภาพลักษณ์ ให้เข้ากับราคานั้น
3. Placeคือวิธีการนำสินค้าไปสู่มือของลูกค้า หากเป็นสินค้าที่จะขายไปหลายๆแห่ง วิธีการขายหรือการกระจายสินค้าจะมีความ สำคัญมาก หลักของการเลือกวิธีกระจายสินค้านั้นไม่ใช่ขายให้มากสถานที่ที่สุดจะดีเสมอ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่า สินค้าของท่านคือ อะไร และกลุ่มเป้าหมายท่านคือใคร เช่นของใช้ในระดับบน ควรจะจำกัดการขายไม่ให้มีมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เสียภาพ ลักษณ์ได้สิ่งที่เราควรจะคำนึงอีกอย่างของวิธีการกระจายสินค้าคือต้นทุนการกระจายสินค้า เช่นการขายสินค้าใน 7-eleven อาจจะ กระจายได้ทั่วถึง แต่อาจจะมีต้นทุนที่สูงกว่า หากจะกล่าวถึงธุรกิจที่เป็นการขายหน้าร้าน Place ในที่นี้ก็คือ ทำเล ซึ่งก็ควรเลือกที่ ให้เหมาะสมกับสินค้าของเราเช่นกัน อย่าง มาบุญครองกับ สยามเซ็นเตอร์ จะมีกลุ่มคนเดินที่ต่างออกไปและลักษณะสินค้าและ ราคาก็ไม่เหมือนกันด้วยทั้งๆที่ตั้งอยู่ใกล้กัน ท่านควรขายที่ใดก็ต้องพิจารณาตามลักษณะสินค้า 4. Promotionคือการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อบอกลูกค้าถึงลักษณะสินค้าของเรา เช่นโฆษณาในสื่อต่างๆ หรือการทำกิจกรรม ที่ทำให้คนมาซื้อสินค้าของเรา เช่นการทำการลดราคาประจำปี หากจะพูดในแง่ของธุรกิจขนาดย่อม การโฆษณาอาจจะเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็นเพราะจะต้องใช้เงิน จะมากหรือน้อยก็ ขึ้นกับ ช่องทางที่เราจะใช้ ที่จะดีและอาจจะฟรีคือ สื่ออินเตอร์เนต ซึ่งมีผู้ใช้เพิ่มจำนวนขึ้นมากในแต่ละปี สื่ออื่นๆที่ถูกๆ ก็จะเป็นพวก ใบปลิว โปสเตอร์ หากเป็นสื่อท้องถิ่นก็จะมี รถแห่ วิทยุท้องถิ่น หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น วิธีในการเลือกสื่อนอกจากจะดูเรื่องค่าใช้จ่าย แล้วควรดูเรื่องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วย เช่นหากจะโฆษณาให้กลุ่มผู้ใหญ่ โดยเลือกสื่ออินเตอร์เนต(เพราะฟรี) ก็อาจจะเลือก เวบไซต์ที่ผู้ใหญ่เล่น ไม่ใช้เวบที่วัยรุ่นเข้ามาคุยกัน เป็นต้น
 
Reciprocal Links Directory - Smarty Links is the right place to get linked!